สอบถามถึงผลตอบรับจากงานเจรจาธุรกิจและมุมมองในอนาคต

SM-CYCLO (THAILAND) CO., LTD.
คุณสุพชัย ศรีอ่อน — ผู้จัดการประเทศ
SM-CYCLO ในฐานะสมาชิกของกลุ่มบริษัท Sumitomo ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 30 ปี การเข้าร่วมงาน INTERMACH & SUBCON ในครั้งนี้นับเป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน โดยในครั้งนี้ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ได้แก่ อินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ “Invertek-Inverter”, มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง “SM Motor” และระบบขนส่งอัตโนมัติ “Smartris” — เทคโนโลยีการขนส่งยุคถัดไปที่ใช้ AGV และ AMR มาจัดแสดงพร้อมกันคุณสุพชัย ศรีอ่อน ผู้จัดการประเทศ กล่าวว่า “เราสามารถแนะนำเทคโนโลยีใหม่ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสามารถถ่ายทอดจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ได้โดยตรง ทำให้ความสัมพันธ์กับลูกค้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
อุตสาหกรรมไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน นับตั้งแต่วิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 อุตสาหกรรมยานยนต์และปิโตรเคมีได้รับการพัฒนาด้วยการลงทุนจากญี่ปุ่น แต่ในช่วงหลังมานี้กลับเริ่มชะลอตัวลง “เมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น EV และ AI กำลังเข้ามาครองโลก หากไทยไม่สามารถตามให้ทัน ก็จะไม่สามารถคาดหวังการเติบโตอย่างยั่งยืนได้” คุณสุพชัยกล่าวเตือนเขายังได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างรูปแบบการลงทุนของญี่ปุ่นและจีนว่า “บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนทั้งในด้านบุคลากรและเงินทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ในขณะที่จีนมักนำผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเข้ามา ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการสร้างงานหรือการพัฒนาฐานอุตสาหกรรม” นอกจากนี้ยังเสริมว่า “ค่าแรงในประเทศไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไป การแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านก็ทวีความรุนแรง จึงจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี”
กระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็ไม่อาจมองข้ามได้ “ความต้องการชิ้นส่วนสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดลงอย่างแน่นอน การปรับโครงสร้างฐานการผลิตจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้” อย่างไรก็ตาม เขายังมองในแง่บวกว่า “หากมีตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ ๆ เกิดขึ้น ไทยก็สามารถกลับมามีความคึกคักได้อีกครั้ง”เกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯ คุณสุพชัยวิเคราะห์อย่างสุขุมว่า “ในตอนนี้ ผลกระทบต่อบริษัทของเรายังจำกัด แต่เรายังคงจับตาการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนอย่างใกล้ชิด”
ท้ายที่สุด คุณสุพชัยสรุปว่า “นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นความจริงที่อุตสาหกรรมการผลิตไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ การตอบสนองอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาความสามารถในการแข่งขันในอนาคต”
THAI ROKUHA CO., LTD.
คุณวรากร กติกาวงศ์ — กรรมการผู้จัดการ
งาน INTERMACH ถือเป็นเวทีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการผลิตได้เป็นอย่างดี เมื่อ 10 ปีก่อน บริษัทญี่ปุ่นคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ร่วมแสดงสินค้า แต่ในปีนี้ บริษัทจากจีนกลับมีบทบาทโดดเด่นเป็นพิเศษ คุณวรากร กติกาวงศ์ กรรมการผู้จัดการของ THAI ROKUHA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่น กล่าวว่า “สัดส่วนของผู้ร่วมแสดงสินค้ากำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าจำนวนบริษัทจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
ปัจจัยสำคัญคือการแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้สินค้าจากจีน ซึ่งมีจุดเด่นด้านราคาถูกและคุณภาพที่ใช้ได้ เริ่มแทรกซึมเข้าสู่ตลาดไทย ส่งผลให้ความสำคัญของราคาและความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน ค่าแรงในประเทศไทยก็เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การนำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้เกิดขึ้นรวดเร็วขึ้น THAI ROKUHA ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน Factory Automation (ระบบอัตโนมัติในโรงงาน) ก็ตอบสนองต่อความต้องการนี้ โดยเฉพาะ “โคบอท” (Cobot — หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์) ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัยในพื้นที่เดียวกัน ประหยัดพื้นที่ และติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงงานที่ต้องพึ่งพาแรงงานคนจำนวนมาก “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การใช้ระบบอัตโนมัติได้ขยายไปเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกระบวนการที่เคยพึ่งแรงงานคนมาก” คุณวรากรกล่าว พร้อมทั้งเสริมว่าบริษัทได้นำเสนอทั้งโคบอทจากญี่ปุ่นและจากยุโรป เช่น ABB เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละหน้างาน
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการลงทุนจากญี่ปุ่นในไทย “เมื่อการจัดหาทรัพยากรในระดับโลกก้าวหน้า ความจำเป็นที่ญี่ปุ่นจะต้องมีฐานการผลิตพิเศษในไทยก็ลดลง” คุณวรากรกล่าว ในสถานการณ์เช่นนี้ THAI ROKUHA เลือกให้ความสำคัญกับ “ความร่วมมือ” มากกว่าการแข่งขัน มุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือกับซัพพลายเออร์
“เทคโนโลยีเมื่อใช้แล้ว ต้นทุนจะลดลง แต่แรงงานเมื่อใช้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีการอัตโนมัติ” เขากล่าวเน้น พร้อมเสริมว่า “หากเราสามารถปรับใช้เทคโนโลยีได้อย่างยืดหยุ่น และรักษาความเชื่อมั่นกับพันธมิตรไว้ได้ อุตสาหกรรมการผลิตยังคงมีศักยภาพอีกมาก การเปลี่ยนแปลงคือโอกาส และตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ ‘Industry 4.0’”