สำรวจตลาด 18/04/2025, 10:05

ครั้งที่ 89 แนวโน้มล่าสุดของรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เข้าสู่ตลาดในไทย

รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) คือรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ ทุกวันนี้ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจสังเกตได้ว่าเริ่มเห็นรถ EV วิ่งตามถนนบ่อยขึ้น

รถญี่ปุ่นเหรอ? หรือรถอเมริกัน? ไม่ใช่เลย ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นกลับเป็น “รถจีน” ต่างหาก และไม่ใช่แค่แบรนด์ดังอย่าง BYD เท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์ที่คนไทยอาจไม่คุ้นชื่อมาก่อน อย่าง Deepal, AION, NETA และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมแล้วเกือบ 20 แบรนด์เลยทีเดียว น่าทึ่งใช่ไหม?

แล้วทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? อนาคตของตลาด EV ในไทยจะเป็นอย่างไร? บทความนี้จะพาไปอัปเดตความเคลื่อนไหวล่าสุดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในประเทศไทยกัน

ครั้งที่ 89 แนวโน้มล่าสุดของรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เข้าสู่ตลาดในไทย

 ในปี 2024 ตลาดรถยนต์ของไทยเผชิญกับการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปี แต่ท่ามกลางการชะลอตัวนั้น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะกลุ่มรถขนาดเล็กไม่เกิน 7 ที่นั่ง (ซึ่งจากนี้จะเรียกสั้น ๆ ว่า EV) ยังถือว่ามีแนวโน้มที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ตามข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั่วประเทศตลอดปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 486,963 คัน ลดลงถึง 22.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ของตลาด แม้ EV จะได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะนี้ แต่ยอดขายลดลงเพียง 10.2% เท่านั้น และในปี 2025 ก็เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้ว

 ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ปีนี้ มีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใหม่ทั้งหมด 17,382 คัน เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์โดยรวมยังคงซบเซา ลดลงถึง 16.6% แม้ตลาดรถยนต์โดยรวมจะหดตัว แต่สัดส่วนของ EV กลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยคิดเป็น 18.6% ของรถใหม่ทั้งหมดที่จดทะเบียน หรือก็คือ ปัจจุบัน รถใหม่ที่คนไทยเลือกซื้อ 1 ใน 5 คันเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ถ้าดูเฉพาะเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว จะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเกือบ 1 ใน 4 รถใหม่ที่จดทะเบียนคือ EV แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่คนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจกับรถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

 ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนคือแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด EV ในไทย โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม–กุมภาพันธ์) แบรนด์ที่มียอดจดทะเบียนมากที่สุดคือ BYD ที่ทำไปได้ถึง 5,477 คัน คิดเป็น 31.5% ของ EV ทั้งหมด หรือพูดง่าย ๆ ว่า รถ EV ใหม่ทุก ๆ 3 คัน มี 1 คันที่เป็น BYD อันดับ 2 คือ CHANGAN (ฉางอาน) กับยอดจดทะเบียน 2,041 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 11.7% โดยมีแบรนด์ในเครืออย่าง Deepal และ CHANGAN เองที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนอันดับ 3 เป็นของ AION จากค่าย Guangzhou Automobile (GAC) ที่มียอดจดทะเบียน 1,889 คัน หรือ 10.9% ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในบรรดา 20 อันดับแบรนด์ EV ที่ขายดีที่สุดในไทย มีถึง 13 แบรนด์ที่มาจากจีน และเมื่อรวมส่วนแบ่งตลาดทั้งหมดของแบรนด์จีนแล้ว คิดเป็นมากถึง 91.2% ถือว่าแทบจะครองตลาด EV ไทยแบบเบ็ดเสร็จเลยทีเดียว

 ในขณะที่ฝั่งจีนครองตลาดเกือบทั้งหมด แบรนด์ที่ไม่ใช่จีนที่ยังพอทำผลงานได้น่าพอใจคือ Volvo จากสวีเดน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยยอดจดทะเบียน 454 คัน คิดเป็น 2.6% ของตลาด และ Tesla จากสหรัฐฯ ตามมาในอันดับที่ 11 ด้วยยอด 318 คัน หรือ 1.8% สำหรับค่ายรถญี่ปุ่นนั้นกลับไม่โดดเด่นนัก โดยอันดับที่ดีที่สุดคือ Honda ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 19 ด้วยยอดจดทะเบียนเพียง 53 คัน คิดเป็น 0.3% เท่านั้น

 เหตุผลที่ทำให้ค่ายรถจีนสามารถรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทยได้อย่างแข็งแกร่ง มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ ข้อแรกคือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) ซึ่งมีผลให้รถยนต์นำเข้าจากจีน ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า จากที่ปกติอาจต้องจ่ายสูงถึง 80% นี่ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่มาก นอกจากเรื่องภาษีแล้ว ไทยยังมี มาตรการส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เอื้อต่อผู้ผลิต EV อย่างเต็มที่ จึงไม่แปลกที่บริษัทรถยนต์จีนจะเร่งขยายฐานเข้ามาในไทย เพราะพื้นฐานเอื้อให้พร้อมอยู่แล้ว

 อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ นโยบาย “EV 3.0” ที่คณะรัฐมนตรีไทยมีมติเห็นชอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มาตรการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากรัฐบาล สำหรับผู้ซื้อรถ EV โดยรัฐจะมอบเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 150,000 บาทต่อคัน ทำให้ภาพจำว่า “รถ EV แพงเกินเอื้อม” ค่อย ๆ จางหายไปในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ในขณะที่รถ EV จากญี่ปุ่นบางรุ่นยังมีราคาสูงถึง 1.1–3.5 ล้านบาทต่อคัน รถ EV จากจีนที่มีราคาเพียง 500,000–700,000 บาท กลับกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและจับต้องได้มากกว่าอย่างชัดเจนในสายตาผู้บริโภค

 อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ก็ไม่ได้ง่ายสำหรับทุกค่ายรถ เนื่องจากมีเงื่อนไขที่เข้มงวดพอสมควร โดยบริษัทต่างชาติที่นำเข้า EV มาขายในไทยและได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จะต้อง ตั้งโรงงานผลิต EV ในประเทศไทย และต้องผลิตให้ได้ จำนวนเท่ากับยอดนำเข้าที่ขายไป ภายในปี 2024 ถ้าทำไม่สำเร็จตามที่กำหนด ยังมีบทลงโทษเพิ่มเติม คือในปี 2025 บริษัทนั้นจะต้องผลิตเพิ่มเป็น 1.5 เท่าของยอดที่ขาดไป ซึ่งถือว่าเป็นเงื่อนไขที่หนักเอาการ และอาจกลายเป็นแรงกดดันสำหรับหลายค่ายที่ยังไม่มีแผนการผลิตในไทยอย่างชัดเจน

 มาตรการ EV 3.5 ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา ยังคงยึดหลักการเดิมไว้เหมือนกับ EV 3.0 แต่ที่เข้มข้นขึ้นคือ บทลงโทษถูกปรับเพิ่มเป็น 3 เท่า ของจำนวนที่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ด้วยข้อกำหนดที่ค่อนข้างหนัก ทำให้ผู้ผลิตต่างชาติหลายรายเลือกที่จะไม่ยื่นขอรับสิทธิ์สนับสนุนจากภาครัฐ แต่ในทางกลับกัน ค่ายรถจีนกลับตัดสินใจเดินหน้าลงทุนในไทย แม้จะต้องแบกรับความเสี่ยงก็ตามการตัดสินใจครั้งนี้จะกลายเป็น “ได้ไปต่อ” หรือ “เดินผิดทาง” อีกไม่นานก็คงได้รู้กัน
(ยังมีต่อ)

แบ่งปัน

ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม