สองเดือนผ่านไปนับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการ "ภาษีตอบโต้" อย่างสายฟ้าแลบ ผลกระทบจากมาตรการนี้ได้สร้างความกังวลอย่างมากในประเทศไทย ซึ่งถูกกำหนดอัตราภาษีไว้สูงถึง 36% บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจส่งออกเริ่มดำเนินการรับมืออย่างเร่งด่วน ขณะที่สถาบันการเงินและสมาคมอุตสาหกรรมก็เริ่มออกมาสนับสนุนภาคธุรกิจภายในประเทศ
รัฐบาลไทยเองก็เร่งเปิดการทูตการค้าเพื่อแสวงหาตลาดใหม่ โดยในการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ณ ประเทศมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้เจรจาโดยตรงกับผู้นำประเทศต่าง ๆ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ โดยตรง แต่ก็แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนในการผลักดันการค้าระหว่างประเทศให้ก้าวหน้าอย่างมีระเบียบ
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่สูง รัฐบาลไทยได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งกฎระเบียบใหม่ด้านการค้า และผลักดันการพัฒนาตลาดดิจิทัล พร้อมทั้งเสนอให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านดังกล่าว

ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน ในวันที่ 19 พฤษภาคม ประธานาธิบดีปราโบโวของอินโดนีเซียได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยหัวข้อหลักในการหารือระดับผู้นำครั้งนี้คือการรับมือกับภาษีทรัมป์ ผู้นำทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันขึ้นเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” พร้อมทั้งตกลงร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ (Roadmap) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ความร่วมมือกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน และการที่มาตรการภาษีตอบโต้ถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลา 90 วัน ทำให้ตลาดการค้าของไทยกลับมาสงบนิ่งชั่วคราว
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศยังได้ตกลงจัดตั้ง “คณะกรรมการการค้าร่วม” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีขึ้นในประเทศไทยภายในปีนี้ประเด็นที่หารือกันครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ การผลักดันนโยบายความมั่นคงด้านอาหาร และการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออินโดนีเซียในฐานะประเทศมุสลิมนอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังยืนยันการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมไซเบอร์ และการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
ควบคู่ไปกับการหารือเหล่านี้ นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้สั่งการให้ทบทวนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2568 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงกันยายน 2568) เป็นจำนวน 157,000 ล้านบาท (ประมาณ 6.9 แสนล้านเยน) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (SME) ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ โดยรัฐบาลจะยุติโครงการแจกเงินช่วยเหลือประชาชนที่เคยดำเนินการมาเป็นระยะ ๆ และนำงบส่วนนั้นมาสนับสนุนภาคธุรกิจแทนรัฐบาลคาดว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยผลักดันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ให้เพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 1%
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลไทยมากที่สุดเกี่ยวกับนโยบายภาษีตอบโต้ คือปัญหาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “การส่งออกแบบอ้อม” จากจีนเนื่องจากต้นทุนแรงงานในจีนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาด้านความมั่นคง ทำให้แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หรือที่เรียกว่า “China Plus One” มีความคึกคักมากขึ้น ไทย เช่นเดียวกับเวียดนาม ได้กลายเป็นประเทศที่รับช่วงการผลิตหรือเป็นจุดผ่านของสินค้าและวัตถุดิบจากจีน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์กลับมองว่าการเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบลักษณะนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี และจัดให้อยู่ในข่ายของ “การส่งออกแบบอ้อม” (Indirect Export) ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงได้นำเสนอมาตรการต่อฝ่ายสหรัฐฯ โดยเสนอให้มีการเข้มงวดเรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เพื่อป้องกันการ “ปลอมแปลงแหล่งผลิต” ควบคู่กันนั้น ไทยยังได้แสดงความพร้อมที่จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน วัสดุในอุตสาหกรรมอวกาศ สินค้าเกษตร และปุ๋ย อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการยื่นเอกสารและตรวจสอบในระดับเจ้าหน้าที่เท่านั้น ยังไม่มีการกำหนดกำหนดการสำหรับการเจรจาระดับรัฐมนตรีแบบพบหน้าแต่อย่างใด
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ตำรวจไทยได้บุกจับกุมศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ โดยสามารถยึดของปลอมจำนวนมาก เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมและนาฬิกาหรู เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่ไทยใช้เพื่อเอาใจสหรัฐฯ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดจากภาษีทรัมป์ ที่ผ่านมา ไทยเคยถูกสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดให้อยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง” ด้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และถูกเรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขในด้านนี้ การเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในครั้งนี้จึงถูกมองว่า เป็นความพยายามของไทยที่จะโน้มน้าวให้รัฐบาลทรัมป์ยอมผ่อนปรนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรที่บังคับใช้เพิ่มเติม
ผลกระทบจากภาษีทรัมป์เริ่มปรากฏให้เห็นในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย ยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 70,000 ล้านบาทในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียวสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลก ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในต่างประเทศที่มีความเสี่ยง และหันกลับมาฝากเงินไว้ในประเทศ แม้จะได้รับดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่มีความมั่นคงมากกว่า
การส่งออกไปสหรัฐฯ ก็ได้รับแรงกระตุ้นจากความต้องการเร่งซื้อก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ตามข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ มูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในเดือนเมษายนอยู่ที่ 25.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.7 ล้านล้านเยน) เพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 23.8% อยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดในเดือนนั้น ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคธุรกิจในการเร่งทำกำไรล่วงหน้า ก่อนที่มาตรการภาษีจะเริ่มมีผลในช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป บริษัทต่าง ๆ ยังไม่สามารถมองเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนในอนาคตได้ ด้วยเหตุนี้ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในปี 2568 อาจลดลงสูงสุดถึง 200,000 ล้านบาท (ยังมีต่อ)